ทักษะ 4 ด้านที่จำเป็นสำหรับอนาคตที่มีสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง ประกอบด้วย
1. ทักษะพื้นฐานต่างๆ หรือทักษะความรู้ เช่น การคำนวน การอ่านเขียน และภาษา
2. ทักษะการเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์ เช่น การมีความคิดสร้างสรรค์ การคิดเป็นระบบ การแก้ไขปัญหา และการสื่อสาร
3. ทักษะชีวิตและอาชีพ เช่น การปรับตัวและการทำงานร่วมกับคนอื่นแบบทีม เป็นต้น
4. ทักษะด้านดิจิทัลเทคโนโลยี่ต่างๆ
ปัจจุบันเริ่มมีแนวคิดว่าในอนาคตนั้นวุฒิการศึกษาและปริญญาบัตรยังมีความสำคัญอยู่หรือไม่ มีข้อมูลและบทความที่สนับสนุนการมุ่งตรงไปฝึกงานอาชีพนั้นโดยตรงเพื่อสะสมประสบการณ์แทนการเข้าเรียนมหาวิทยาลัย คนรุ่นใหม่ก็สนใจงานที่เป็นอิสระมากขึ้น ครอบครัวที่มองถึงอนาคตของลูกจึงต้องวางแผนเพื่อการศึกษาให้สอดคล้องกับแนวทางอาชีพที่เปลี่ยนไป รวมทั้งความสนใจ ความสามารถ และความถนัดของลูก พ่อแม่จึงไม่เพียงแต่ต้องวางแผนการศึกษาในโรงเรียนเท่านั้น แต่ควรช่วยเตรียมทักษะความพร้อมในด้านอื่นให้ลูกด้วย การวางแผนการศึกษาจึงมีความซับซ้อนกว่าเดิมและอาจจำเป็นต้องวางแผนการเงินควบคู่ไปด้วย โดยคำนึงถึง
• ค่าเทอมต่อปีของโรงเรียนต่างๆ มีช่วงกว้างตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสนปลายๆ ข้อมูลของโรงเรียนเอกชนชั้นนำพบว่าค่าเทอมต่อปีอยู่ในช่วง 60,000 – 180,000 บาทต่อปี ขณะที่โรงเรียนสองภาษามีค่าเล่าเรียนในช่วง 100,000 – 300,000 บาท สำหรับโรงเรียนนานาชาติอยู่ในช่วง 300,000 – 700,000 บาทต่อปี อย่างไรก็ตามข้อมูลเหล่านี้เป็นเพียงข้อมูลจากการสุ่มโรงเรียนบางส่วนเท่านั้นและไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นที่โรงเรียนเรียกเก็บ เมื่อต้องการเริ่มวางแผนการศึกษาควรสอบถามข้อมูลจากโรงเรียนที่สนใจเพื่อให้การวางแผนมีความถูกต้อง
• ระดับชั้นเรียนที่สูงขึ้นมีค่าเทอมที่เพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย ยกตัวอย่างจากโรงเรียนนานาชาติ 2 แห่งที่เผยแพร่ค่าเล่าเรียนไว้บนเว็บไซต์ของโรงเรียนให้เห็นภาพของค่าเทอมที่เพิ่มสูงขึ้นในแต่ละระดับชั้นเรียน การวางแผนการเงินเพื่อการศึกษาจึงต้องคำนึงถึงค่าเทอมในชั้นปีต่างๆ ด้วย
• การวางแผนการศึกษาต้องคำนึงถึงเงินเฟ้อเพื่อการศึกษาที่ค่าเทอมจะปรับเพิ่มทุกๆ ปี อาจใช้อัตราเงินเฟ้อเพื่อการศึกษาที่ประมาณ 5% ในการคำนวณ
• ยังต้องประมาณการค่าใช้จ่ายของกิจกรรมที่พ่อแม่ต้องจ่ายเป็นรายกิจกรรมและค่าใช้จ่ายประจำวันของลูกด้วย
เนื่องจากการศึกษามีระยะเวลาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาจนจบมหาวิทยาลัย ทำให้เป็นการวางแผนการเงินระยะยาวมากกว่า 10 ปี แผนการเงินเพื่อการศึกษาจึงควรประกอบด้วย
นอกจากการวางแผนการออมการลงทุนเพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการศึกษา ควรวางแผนการคุ้มครองความสามารถในการออมของพ่อแม่ ด้วยการทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองเงินทุนการศึกษาส่วนที่ยังขาดทำให้แผนการศึกษาสามารถเดินไปได้โดยไม่สะดุด การสร้างความคุ้มครองจึงควรมีความยืดหยุ่นเพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความพร้อมทางการเงินและเป้าหมายที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในช่วงใดช่วงหนึ่งด้วย
สุดท้ายขอฝากว่าการวางแผนการศึกษาของลูกควรเริ่มตั้งแต่เนิ่นๆ สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการวางแผนด้วยตนเองอาจลองปรึกษานักวางแผนการเงินให้ช่วยจัดทำแผนการศึกษาที่เหมาะสมกับความพร้อมและเป้าหมายของครอบครัว เพื่อให้ลูกสามารถพัฒนาความพร้อมด้านต่างๆ สู่การเติบใหญ่และก้าวไปในอนาคตอย่างมั่นคง
ติดตามความรู้และข่าวสารสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ได้ที่ LINE@cfpthailand , สมาคมนักวางแผนการเงินไทย Facebook Fanpage และ www.tfpa.or.th
บทความที่เกี่ยวข้อง