No data
ไม่พบข่าวล่าสุด

เส้นทางเศรษฐีหุ้นไทย

โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ชั้นแนวหน้า

เส้นทางเศรษฐีหุ้นไทย

โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ชั้นแนวหน้า
กลยุทธ์การลงทุนระยะยาวที่สั้นที่สุด

ตลาดหุ้นไทยนั้น  เป็น “แหล่งที่อยู่” ของเศรษฐีไทยมาน่าจะไม่น้อยกว่า 20 ปีแล้ว  ความหมายก็คือ  คนรวยในประเทศไทยนั้น  ตั้งแต่อย่างน้อยก็ 20 ปีมาแล้ว  ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ที่มีหุ้นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ในจำนวนและปริมาณที่คิดเป็นเงินแล้ว  “มาก”  เมื่อเทียบกับทรัพย์สินอย่างอื่น  เช่น  อสังหาริมทรัพย์  ทอง  พันธบัตร  หุ้นกู้  หรือเงินสด  พูดง่าย ๆ  ก็คือ  ถ้าจะบอกว่าใครรวยแค่ไหนจริง ๆ  ก็จะต้องไปดูว่าเขาถือหุ้นอะไรในตลาดจำนวนเท่าไร  มากกว่าจะบอกว่าเขาทำธุรกิจอะไรหรือเป็นเจ้าของที่ดินที่ไหนและรวยแค่ไหนโดยที่ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าทรัพย์สินเหล่านั้นมีค่าเท่าไรและสามารถแปลงเป็นเงินสดได้ไหม

          โชคดีที่ว่าข้อมูลการถือหุ้นของบุคคลธรรมดาที่ถือหุ้นอย่างน้อย 0.5% ของบริษัทจดทะเบียนนั้น  ตลาดหลักทรัพย์ได้เปิดเผยให้เป็นข้อมูลสาธารณะที่ทุกคนเข้าไปดูได้  แม้ว่าจะปรับข้อมูลให้ทันสมัยเพียงประมาณปีละหน  เราก็พอที่จะประมาณได้คร่าว ๆ  ว่าใครมีความมั่งคั่งจากการถือหุ้นคิดเป็นเงินอย่างน้อยเท่าไร  กี่ร้อยหรือกี่พันล้านบาทสำหรับคนที่เข้าข่ายว่าเป็น  “เศรษฐี” หุ้น  และข้อมูลนี้  โชคดีอีกที่มีวารสารการเงินธนาคารได้จัดทำและเผยแพร่บทวิจัยทุกปีมานานน่าจะเกือบ 20 ปีแล้ว  ซึ่งนี่ก็จะเป็นแหล่งข้อมูลที่ผมนำมาวิเคราะห์ต่อในบทความนี้

          ผมจะเริ่มวิเคราะห์ข้อมูล “เศรษฐีหุ้นไทย” ตั้งแต่ประมาณสิ้นปี 2008 ซึ่งเป็นปีที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยตกลงมาเป็น “วิกฤต” ตามวิกฤตซับไพร์มในอเมริกา  ดัชนีหุ้นไทยตกลงมาประมาณ 50% และเหลือเพียง 450 จุด  และหลังจากนั้น  ตลาดหุ้นก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว  เป็นเวลา 4 ปี ที่ดัชนีปรับตัวขึ้นไปถึง 1,395 จุดในสิ้นปี 2012 เป็นการเติบโตถึงปีละ 32.6% แบบทบต้น  และกลายเป็น “ยุคทอง” ที่ทำให้เกิด “เศรษฐีหุ้น” เต็มตลาด

นักลงทุนหลาย ๆ  คนกลายเป็น “นักลงทุนรายใหญ่” หลาย ๆ คนกลายเป็น  “เซียน VI”  อย่างไรก็ตาม  เศรษฐีหุ้นไทย “ตัวจริง” ก็คือ  เจ้าของและผู้บริหารบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมากจำนวนประมาณเกือบ 500 คน

ไล่ตั้งแต่คนที่ “รวยที่สุด” ที่เป็นเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ที่สุดในช่วงเวลานั้นที่มีความมั่งคั่งคิดเป็นเม็ดเงิน 14,657 ล้านบาท  ขณะที่เศรษฐีหุ้นอันดับ 10 มีมูลค่าหุ้นคิดเป็น 3,363 ล้านบาท  และคนรวยหุ้นอันดับที่ 500 ซึ่งเป็นอันดับสุดท้ายที่อยู่ในรายงานมีมูลค่าหุ้นเพียง 135 ล้านบาท

“ตระกูลเศรษฐีหุ้น”  ซึ่งบางทีอาจจะสะท้อนความมั่งคั่งแบบไทย ๆ มากกว่า  เพราะรวมคนที่อยู่ในนามสกุลเดียวกันบอกว่า  ครอบครัวที่รวยที่สุดอันดับ 10 ในตลาดหุ้นไทยนั้น  มีความมั่งคั่งเท่ากับ 4,818 ล้านบาท  และตระกูลอันดับที่ 100 มีเงินอย่างน้อย 712 ล้านบาท  และนี่ก็คือตัวเลขที่ผมคิดว่าน่าจะถือได้ว่าเป็น  “คนรวยหรือเศรษฐี” ตัวจริงในสังคมไทยในขณะนั้น  คือช่วงสิ้นปี 2008 ได้

เวลาผ่านไปถึงปี 2012 ซึ่งเป็น “ยุคทอง 4 ปี” ของตลาดหุ้นไทย  เศรษฐีหุ้นไทยอันดับ 1 นั้นมีการเปลี่ยนแปลงไป  แต่ก็ยังอยู่ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว  โดยเฉพาะในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ราคาถูก  ผลก็คือ  เจ้าของรวย 23,497 ล้านบาท  เป็นการเพิ่มขึ้นจากคนเดิมถึง 60% เท่ากับเติบโตแบบทบต้นปีละ 12.5% ในช่วงเวลา 4 ปี

เศรษฐีหุ้นอันดับ 10 มีมูลค่าหุ้น 9,759 ล้านบาท  เพิ่มขึ้นจากช่วงปี 2008 แบบทบต้นปีละถึง 30.5%  ในขณะที่เศรษฐีหุ้นอันดับที่ 500 นั้นมีมูลค่าอยู่ที่ 336 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นปีละ25.6% แบบทบต้น

ตระกูลเศรษฐีหุ้นอันดับ 10 มีมูลค่าความมั่งคั่งเท่ากับ 14,644 ล้านบาท เพิ่มขึ้นปีละ 32% แบบทบต้น  และตระกูลเศรษฐีหุ้นอันดับที่ 100 มีมูลค่าหุ้นเท่ากับ 1,883 ล้านบาท หรือเท่ากับเพิ่มขึ้นปีละ 27.5% แบบทบต้นในช่วงเวลา 4 ปีทอง

ทั้งหมดนั้นจะเห็นว่าเศรษฐีหุ้นต่างก็รวยขึ้นอย่างรวดเร็ว  แต่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าภาวะตลาดที่ดัชนีหุ้นกลับปรับตัวสูงขึ้นมากกว่า

จากปี 2012 ถึงปี 2016  เป็นเวลา 4 ปี ดัชนีตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นน้อยมาก  จาก 1,392 จุด  เป็น 1,543 จุด หรือเพิ่มเฉลี่ยปีละแค่ 2.6% แต่ความมั่งคั่งของเศรษฐีหุ้นไทยนั้น  กลับสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้อย่างน่าประทับใจมาก

เศรษฐีหุ้นอันดับหนึ่งเปลี่ยนเป็นคนที่อยู่ในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่ที่สุดที่กำลังเป็นเทรนด์ใหม่ของสังคมไทยที่ร่ำรวยขึ้น  ความมั่งคั่งจากเดิม 23,497 กลายเป็น 67,244 ล้านบาท  เป็นการเพิ่มขึ้นปีละ 30% แบบทบต้น  เศรษฐีหุ้นอันดับ 10 มีความมั่งคั่ง 14,661 ล้านบาทหรือเพิ่มปีละ 10.7%  และเศรษฐีหุ้นอันดับที่ 500 มีเงินเท่ากับ 685 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นปีละ 19.5%

ตระกูลเศรษฐีอันดับ 10 มีมูลค่าหุ้น 20,561 ล้านบาท และอันดับ 100 เท่ากับ 4,005 ล้านบาท  เพิ่มขึ้นปีละ 20.8%

ช่วงปี 2012 ถึง 2016 นั้น  ถือว่าเป็น  “ปีทองของเศรษฐีหุ้น” เพราะแม้ว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์แทบไม่ไปไหนเลย  แต่ดูเหมือนว่า  “เจ้าของหุ้น” ที่มักจะมีหุ้นของบริษัทขนาดเล็กลงมาสามารถ  “สร้างมูลค่าให้กับหุ้น” ของตนเองได้ดี  ซึ่งก็อาจจะเป็นเช่นเดียวกับ “นักลงทุน” ที่มีการขยายตัวและเข้ามา  “เล่นหุ้น”  กันมากมายและก็อาจจะร่วมเล่นกับเจ้าของด้วย  และก็มักจะสามารถหาหุ้นที่โดดเด่นและสามารถคอร์เนอร์หุ้นจนมีมูลค่าสูงมากในช่วงนั้นได้

ปี 2016-2020 ดัชนีหุ้นลดลงจาก 1,543 จุดเหลือ 1,449 จุด หรือลดลงปีละ1.6% โดยเฉลี่ย  อานิสงค์ส่วนหนึ่งจากโรคระบาดโควิด-19  แต่เศรษฐีหุ้นอันดับ 1 มีการเปลี่ยนแปลงไปอยู่กับนักธุรกิจพลังงานขนาดใหญ่ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว  มูลค่าความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น “ทะลุแสนล้าน” เป็น  115,289 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นปีละ14.4% แบบทบต้น

เช่นเดียวกับเศรษฐีหุ้นอันดับ 10 ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 26,798 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นปีละ 16.3% และตระกูลเศรษฐีหุ้นอันดับ 10 ที่มีมูลค่า 30,414 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นปีละ10.3%   อย่างไรก็ตาม  “เศรษฐีน้อย” คือผู้ถือหุ้นอันดับที่ 500 กลับมีมูลค่าลดลงเหลือ 593 ล้านบาท  และเศรษฐีใหญ่คือตระกูลเศรษฐีอันดับ 100 มีมูลค่าหุ้นเพียง 3,214 ล้านบาท หรือลดลงปีละ 5.4% โดยเฉลี่ย

ปี 2020-2024 คือสถานะปัจจุบันนั้น  ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงซบเซา  “ธุรกิจรายใหญ่” หลายกลุ่มมีปัญหา  ธุรกิจที่เคยเป็น  “ดารา” หลายแห่ง  “ตกสวรรค์” ยกเว้นแต่เศรษฐีหุ้นหมายเลข 1 ซึ่งก็ยังเป็นรายเดิมตั้งแต่ปี 2020 และยังเติบโตเร็วขึ้นไปอีก  มีมูลค่าความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเป็น 240,341 ล้านบาท  หรือเพิ่มขึ้น 20.2% ต่อปีในช่วงเวลา 4 ปี

ในขณะที่รายใหญ่อื่นคือ เศรษฐีหุ้นอันดับ 10 มีความมั่งคั่งลดลงเหลือ 18,315 ล้านบาทหรือลดลง 9% ต่อปีในช่วงเวลา 4 ปี  ตระกูลรวยที่สุดอันดับ 10 มูลค่าเหลือ 22,367 ลดลงปีละ 7.4%

ธุรกิจรายเล็กลงมาในตลาดหุ้นกลับมีมูลค่ามากขึ้น  เศรษฐีหุ้นอันดับ 500 มีมูลค่าหุ้น 726 ล้านบาท เพิ่มขึ้นปีละ 5.2% โดยเฉลี่ย  ตระกูลเศรษฐีหุ้นอันดับที่ 100 มีมูลค่าหุ้น 4,044 ล้านบาท  เพิ่มขึ้นปีละ 5.9% ในช่วงเวลา 4 ปีสุดท้าย และถือว่าในปัจจุบันนี้  คนหรือตระกูลที่ควรได้ชื่อว่าเป็นเศรษฐีหุ้นไทยตัวจริงหรือเป็นเศรษฐีใหญ่ในสังคม  น่าจะต้องมีทรัพย์สินสุทธิประมาณ 4,000 ล้านบาทขึ้นไป

ภาพสรุปตลอดช่วงเวลา 16 ปีของเส้นทางเศรษฐีหุ้นไทยก็คือ  ในเศรษฐีหุ้นอันดับที่ 500 ซึ่งถือว่าเป็น “เศรษฐีขั้นต้น”  มีการเติบโตของความมั่งคั่งจาก 135 ล้านบาทเป็น 726 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นปีละ 11% โดยเฉลี่ยแบบทบต้น

ระดับที่ควรเรียกว่า “มหาเศรษฐี”  คือเศรษฐีหุ้นอันดับ 10 ที่มีมูลค่าหุ้นรวม 18,315 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นจาก 3,363 ล้านบาท หรือโตขึ้นปีละ11.7% ในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา

เช่นเดียวกับตระกูลเศรษฐีหุ้นอันดับ 10 ที่ควรเรียกว่าเป็นบ้านมหาเศรษฐีที่มีมูลค่าความมั่งคั่งที่ 22,367 ล้านบาท หรือโตขึ้นจาก 4,818 ล้านบาท ในปี 2008 ในอัตราปีละ 11.5% โดยเฉลี่ย

“เศรษฐีหุ้นตัวจริง” คือตระกูลเศรษฐีหุ้นอันดับ 100 นั้น  มีการเติบโตขึ้นจาก 712 ล้านบาทในปี 2008 และปัจจุบันมีมูลค่าหุ้น 4,044 ล้านบาท  หรือโตขึ้นปีละ 11.47% ซึ่งก็ใกล้เคียงกับเศรษฐีหุ้นในทุกกลุ่มที่กล่าวถึง

ยกเว้นก็แต่เศรษฐีหุ้นอันดับ 1 ในตลาดหุ้นไทย  ที่มีมูลค่าหุ้นทิ้งห่างอันดับรองลงไปมาก  คือมีมูลค่าถึง 240,341 ล้านบาท หรือเติบโตในอัตราปีละ 19.1% ในช่วงเวลา 16 ปี  ในขณะที่เศรษฐีหุ้นอันดับ 2 มีมูลค่าหุ้นไม่ถึง 60,000 ล้านบาทหรือเพียง 1 ใน 4 ของอันดับ 1  ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ผมเองก็ไม่เคยเห็นในเศรษฐกิจหรือสังคมของตลาดหุ้นอื่นโดยเฉพาะในตลาดที่พัฒนาแล้วที่เศรษฐีอันดับ 1-5 มักจะมีความมั่งคั่งใกล้เคียงกันและแข่งขันกันได้ตลอดเวลา   

 


  บทความที่เกี่ยวข้อง

My Quote
กลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้แก่ท่าน รวมทั้งเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน ท่านสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  นโยบายการใช้คุกกี้