บทวิเคราะห์ (Research)

เช้าวันนี้ (23 ก.ค.) ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวทรงตัวบริเวณระดับ 1.17 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยตลาดจับตาผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพฤหัสบดีนี้ (25 ก.ค.) ซึ่งนักวิเคราะห์จาก Reuters คาดว่า ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 2.00% หลังจากปรับลดดอกเบี้ยลงมาแล้ว 8 ครั้งติดต่อกันตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา แต่แม้ลดดอกเบี้ย ยูโรกลับแข็งค่าขึ้นราว 17% นับตั้งแต่ ก.พ. เนื่องจากปัจจัยด้านการลงทุน เช่น ความเชื่อมั่นเข้าลงทุนในยุโรป, ความกังวลต่อดอลลาร์อ่อน และนโยบายการเงินที่ต่างกันระหว่าง Fed–ECB ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งด้านการค้าระหว่าง EU กับสหรัฐฯ ยังคงตึงเครียด โดย Reuters รายงานว่า สหภาพยุโรปเตรียมใช้มาตรการตอบโต้ทางเศรษฐกิจ หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลทรัมป์ก่อนวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งมาตรการนี้ครอบคลุมถึงการจำกัดบริษัทดิจิทัลสหรัฐฯ เช่น Amazon, Microsoft และ Netflix ด้านฝั่งสหรัฐฯ ประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ ให้ความเห็นในเชิงยืนยันความอิสระของเฟดในการดำเนินนโยบาย แม้เผชิญแรงกดดันจากทำเนียบขาว โดยเฟดเข้าสู่ช่วง “Blackout Period” ก่อนการประชุม FOMC วันที่ 29–30 ก.ค. ซึ่งตลาดคาดว่าเฟดจะ “คงดอกเบี้ย” ที่ระดับ 4.25–4.50% ในรอบนี้ แต่มีความเป็นไปได้ที่จะ “ปรับลดดอกเบี้ย” ในเดือน ก.ย. และ ธ.ค. หากแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากภาคการผลิตที่เริ่มอ่อนตัว เช่น ดัชนีภาคการผลิตริชมอนด์ล่าสุดที่ลดลงสู่ -20 ด้านกลยุทธ์ หากการปรับตัวลดลงจำกัดหรือราคาสามารถยืนเหนือโซนแนวรับ 1.1669-1.1611 ดอลลาร์ได้ แนะนำเปิดสถานะซื้อหากราคาสามารถทรงตัวเหนือแนวรับโซนดังกล่าว (ลดพอร์ตสถานะซื้อลงหากราคาหลุด 1.1611 ดอลลาร์) ทยอยปิดสถานะซื้อทำกำไรหากราคาปรับตัวขึ้นไม่สามารถผ่านแนวต้านโซน 1.1791-1.1832 ดอลลาร์ ทั้งนี้ หากยืนไม่ได้อาจเกิดแรงขายกดให้ราคาปรับตัวลงอีกครั้ง