ในปี 2568 นี้ การวางแผนการออมและการลงทุนระยะยาวควบคู่กับการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีกลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนให้มีการลงทุนเพิ่มเติม ดังนั้น เพื่อเป็นข้อมูลให้ ผู้ลงทุนในการบริหารจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จึงขอให้ภาพรวมเกี่ยวกับทางเลือกการออมและการลงทุนที่ได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับปี 2568
ทางเลือกการออมและการลงทุนที่ได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันมานานก็คือ การออมและการลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ ได้แก่ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และประกันชีวิตแบบบำนาญ ซึ่งมีวงเงินลดหย่อนรวมกันไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
อีกทางเลือกในการลงทุนที่ได้สิทธิลดหย่อนภาษี ก็คือ การลงทุนระยะยาวผ่านกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนหรือกองทุนรวม Thai ESG ซึ่งเริ่มในปี 2566 โดยกองทุนรวม Thai ESG เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ที่ออกโดยธุรกิจไทยที่ดำเนินงานโดยคำนึงถึงหลัก ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล) เฉลี่ยตั้งแต่ 80% ขึ้นไปของทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ซึ่งสินทรัพย์ที่ลงทุนเป็นได้ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ หรือโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน โดยพิเศษสำหรับการลงทุนในช่วงปี 2567-2569 ผู้ลงทุนสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้แต่ไม่เกิน 300,000 บาท และมีเงื่อนไขการถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปี (ปกติลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท และต้องถือครองไม่น้อยกว่า 8 ปี)
ที่พิเศษเฉพาะสำหรับในปี 2568 คือ ภาครัฐได้มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนระยะยาวเพิ่มเติมผ่าน "กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ หรือ Thai ESGX" ซึ่งได้รับการอนุมัติจัดตั้งจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยมีข้อกำหนดพิเศษด้านนโยบายลงทุนเพิ่มเติมจากกองทุนรวม Thai ESG คือจะต้องลงทุนใน “หุ้นยั่งยืน” เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ผู้ลงทุนสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการซื้อกองทุนรวม Thai ESGX ได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ลงทุนจะต้องซื้อกองทุนรวม Thai ESGX ในช่วง 2 พ.ค. – 30 มิ.ย. 2568 เท่านั้น และจะต้องถือกองทุนอย่างน้อย 5 ปี นับแบบวันชนวัน
นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่ยังมีการถือครองกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ภาครัฐยังให้สิทธิพิเศษในการลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมอีกหนึ่งวงเงิน โดยการสับเปลี่ยนจาก LTF ไปยังกองทุนรวม Thai ESGX ซึ่งผู้ลงทุนสามารถนำมูลค่าหน่วยลงทุน ณ วันที่ Thai ESGX รับสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนมาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้รวมสูงสุด 500,000 บาท แบ่งเป็นการใช้สิทธิในปี 2568 สูงสุด 300,000 บาท และในปี 2569 - 2572 สูงสุดปีละ 50,000 บาท ปีละเท่าๆ กัน โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ ผู้ที่ต้องการใช้สิทธิจะต้องสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ทั้งหมดที่ถือครองอยู่ ณ วันที่ 11 มีนาคม 2568 ไปยังกองทุนรวม Thai ESGX ไม่สามารถเลือกสับเปลี่ยนเพียงบางส่วนได้ อีกทั้งตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม จะต้องไม่มีการขายหรือสับเปลี่ยน LTF ด้วย โดยเริ่มสับเปลี่ยนหน่วยได้ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค. 2568 จนถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2568
สรุปแล้วในปี 2568 ผู้ลงทุนจะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการออมและลงทุนได้รวม 1,400,000 บาท ดังนี้
* จะต้องสับเปลี่ยน LTF ทั้งหมดที่มีอยู่ ณ วันที่ 11 มี.ค. 2568
ในการบริหารจัดการเงินลงทุนควบคู่กับการคำนึงถึงสิทธิประโยชน์ด้านทางภาษี ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขการลงทุนของกองทุนประหยัดภาษีแต่ละประเภทให้ครบถ้วน พร้อมพิจารณาความเหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนและฐานภาษีของตนเอง ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการจะสับเปลี่ยน LTF ไปยังกองทุน Thai ESGX เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษี สามารถตรวจสอบข้อมูลการถือครอง LTF ของตนเองได้กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หรือตัวแทนจำหน่าย
สำหรับผู้ที่อาจจะลงทุนใน LTF อยู่หลายกองทุนจากหลาย บลจ. หรือซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายหลายราย สามารถดูข้อมูลการถือครองกองทุน LTF ทั้งหมดของตนเองได้ในที่เดียว เพื่อตรวจสอบและพิจารณาตัดสินใจสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF เป็น Thai ESGX เพื่อสิทธิลดหย่อนทางภาษี ได้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป ทางเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th/LTF
บทความที่เกี่ยวข้อง