ผลประกอบการ 4Q67 เติบโต YoY จาก Credit Cost ที่ลดลง แต่ผลประกอบการปี 67 หดตัวจาก NII ที่ชะลอตัว KKP รายงานกำไรสุทธิ 4Q67 ที่ระดับ 1.406 พันล้านบาท คิดเป็นการเติบโตกว่า 109.51% YoY และ 6.97%QoQ โดยการเติบโตดังกล่าวได้รับปัจจัยหนุนจาก 1. การลดลงของ Credit Cost (รวม ผลขาดทุนรถยึด) ใน 4Q67 สู่ระดับ 2.18% ซึ่งปรับตัวลดลงจาก 3.12% ใน 4Q66 จากการที่บริษัทได้ดำเนินมาตรการบริหารคุณภาพสินทรัพย์มาอย่างต่อเนื่องบวกกับไม่ได้มีการตั้งสำรองส่วน เพิ่มสำหรับลูกค้ารายใหญ่เหมือนในช่วง 4Q66 รวมถึงขาดทุนรถยืดที่ลดลงสู่ระดับ 1.1 พันล้านบาทใน 4Q67 จาก 1.41 พันล้านบาทใน4Q66 และจาก 1.22 พันล้านบาทใน 3Q67 (แต่ยังสูงกว่า Credit Cost ที่รวมผลขาดทุนรถยึดใน 3Q67 ที่ระดับ 1.99%) 2. Cost to Income Ratio ใน 4Q67 ที่ลดลงสู่ระดับ 44.3% จาก 45.65% ใน4Q66 และ 47.08% ใน 3Q67 ซึ่งเป็นผลมาจาก รายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินทรัพย์รอการขายที่มีการโอนกลับใน 4Q67 ดีกว่า 4Q66 ที่รับผลขาดทุนจากการปรับมูลค่าทรัพย์สินรอการขาย รวมถึงการลดลงของขาดทุนรถยึดตามที่ได้ กล่าวไปแล้ว และ 3. การเพิ่มขึ้นของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) กว่า 55.35% YoY และ 29.75%QoQ สู่ระดับ 2.2 พันล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากทั้งรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิที่ ขยายตัว 21.54% YoY และ 9.24%QoQ ซึ่งขยายตัวทั้งธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ รายได้จากธุรกิจ Wealth Management ,ธุรกิจ Asset Management และธุรกิจ IB รวมถึงการเพิ่มขึ้น ของกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน (FVPL) ที่เพิ่มขึ้นกว่า 1,368% YoY และ 713.5% QoQ ตามภาวะตลาด ส่วนปัจจัยที่กดดันผล ประกอบการอยู่ที่การหดตัวของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) กว่า 16.41% YoY และหดตัว 5.83% QoQ ตาม Net Interest Margin (NIM) ใน 4Q67 ที่ลดลงสู่ระดับ 3.98% จาก 4.41% ใน 4Q66 และ 4.16% ใน 3Q67 ซึ่งถูกกดดันทั้งจากการลดลงของ Yield on Loans และการเร่งตัวของ Cost of Fund รวมถึงถูกกดดันจากรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลงตามการหดตัวของสินเชื่อที่หดตัวทั้งสินเชื่อ รายย่อย (-6 6%YTD) (โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อที่หดตัว 11% YTD) สินเชื่อธุรกิจ(อสังหาฯ+SMF) ที่หดตัว 5% YTD และสินเชื่อบรรษัทหดตัว 10 3% YTD